สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับการยกย่องและชื่นชมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะนี้กำลังประสบปัญหาขาดลูกค้ารายใหญ่ที่สุดไป นั่นคือ “ชาวจีน”
โดยหลังจากทางการจีนยกเลิกมาตรการโควิด-19 ในเดือนมกราคม อนุญาตให้พลเมืองของตนเดินทางไปต่างประเทศได้ ประเทศไทยก็มีความคาดหวังที่สูงว่า ธุรกิจจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวจากความสูญเสียในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19
ชาวเน็ตจีนวิจารณ์ ประเพณีขวางขบวนขันหมากเจ้าบ่าว ขออั่งเปา!
ราชกิจจาฯ ประกาศ ฟรีวีซ่าชั่วคราว จีน-คาซัคสถาน เริ่ม 25 ก.ย. 66
รัฐบาลไทยคาดการณ์ว่า จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาถึง 5 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้ คิดเป็นไม่ถึงครึ่งหนึ่งของตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในปี 2019 แต่ก็ยังมากกว่าปี 2022 ที่มีเพียง 270,000 คน
การเปิดประเทศของจีนจึงเป็นเหมือนสัญญาณอันดีว่า เส้นทางการฟื้นตัวเศรษฐกิจของไทยกำลังจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่สถานการณ์จริง ๆ กลับไม่สวยงามดังภาพฝัน เพราะในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2023 มีนักท่องเที่ยวจีนมาเยือนประเทศไทยไม่ถึง 2.5 ล้านคน
อนุชา ไกด์นำเที่ยวประจำพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ซึ่งทำงานอยู่ตรงนี้มา 42 ปีแล้ว บอกว่า “กระทรวงการท่องเที่ยวของเราบอกว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังการแพร่ระบาด แต่พวกเขากำลังฝันอยู่ ผมเป็นไกด์ ผมควรรู้สิ ถ้ามันปกติเหมือนเมื่อก่อนคนก็คงจะแน่นใช่ไหมล่ะ แล้วดูสิ ตอนนี้คนเยอะรึเปล่าล่ะ?”
มีการประเมินว่า ส่วนหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การขาดแคลนเที่ยวบินราคาประหยัดหลังสถานการณ์โควิด-19 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
และแม้รัฐบาลไทยชุดใหม่จะคาดหวังว่าการยกเว้นวีซ่า 5 เดือนจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น แต่เหตุกราดยิงเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังของกรุงเทพฯ อย่างสยามพารากอน ซึ่งมีชาวจีนถูกสังหาร ก็ก่อให้เกิดปัญหาเชิงภาพลักษณ์
แบงก์ชาติ จับตาผลกระทบยิงห้างพารากอน เชื่อไทยยังเป็นจุดหมาย นทท.จีน คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
สุดเศร้า! เด็กแฝดชาวจีนตามหาแม่ สุดท้ายรู้ว่าถูกยิงดับ
ทั้งเรื่องของการกราดยิงและคดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและประเทศข้างเคียง ทำให้ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขณะนี้ กำลังหลายเป็น “สถานที่ไม่ปลอดภัย” ในสายตาชาวจีน
ภาพลักษณ์เสีย ๆ หาย ๆ ของประเทศอาเซียนถูกสะท้อนผ่านภาพยนตร์ “No More Bets” ที่ฉายเมื่อเดือนสิงหาคม และเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายบ็อกซ์ออฟฟิศในจีน เนื้อหาเล่าเรื่องราวของนางแบบชาวจีนและโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์คนหนึ่งที่ถูกล่อลวงไปใช้แรงงานในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งหนึ่ง
เรื่องเล่าใน No More Bets เป็นการอ้างอิงจากรายงานในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับผู้คนหลายพันคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ที่ถูกหลอกไปทำงานในกัมพูชา และตามแนวชายแดนที่ผิดกฎหมายของไทยติดกับเมียนมาและลาว โซเชียลมีเดียในจีนยังนำเสนอเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับการทรมานและการล่วงละเมิดแรงงานเหล่านี้ด้วย
แอบบี้ นักศึกษาจีนในประเทศไทยที่ชอบสร้างวิดีโอบล็อกให้กับผู้ติดตามโซเชียลมีเดียของเธอได้ชมสถานที่เที่ยวต่าง ๆ ในไทย บอกว่า ภาพลักษณ์ของประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไป ดูได้จากความเห็นที่มีคนจีนเข้ามาคอมเมนต์ใน TikTok ของเธอ
“ความคิดเห็นในฟีดของฉันเคยเป็นเชิงบวกมาก หลายคนพูดหลังจากดูวิดีโอของฉันว่าอยากมาเมืองไทยจริง ๆ” แต่ตอนนี้ ผู้คนถึงกับกังวลว่าพนักงานเสิร์ฟอาจเป็นอุบายหลอกชาวจีนไปตัดไตขาย “ผู้คนจะถามฉันว่า เธอกำลังหลอพวกเขาไปขายไตใช่มั้ย? เธอเป็นขบวนการส่งคนจากไทยไปเมียนมาเหรอ?”
ขณะนี้ ความกังวลเรื่องความปลอดภัยทำให้ชาวจีนจำนวนมากเลือกที่จะไม่มาประเทศไทย จนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยต้องมุ่งเน้นไปที่ตลาดกลุ่มอื่น ๆ เช่น ชาวรัสเซียและชาวอินเดีย
แต่ประเทศไทยยังคงไม่สามารถละเลยตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายมากที่สุดในประเทศไทย โดยการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 6,000 บาทต่อวัน
กระนั้น ประเทศไทยก็ยังคงมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งของจีนได้อยู่ นั่นคือกลุ่ม LGBTQ+
โอเวน ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ชาวจีนที่คอยแนะนำที่ทางในไทยให้กับนักท่องเที่ยวจีน บอกว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางแรก เป็นตัวเลือกหลักสำหรับนักเดินทาง LGBTQ+ ชาวจีน และผู้ที่ต้องการตั้งถิ่นฐานที่นี่คิดเป็น 2 ใน 3 ของลูกค้าของเขา
หนึ่งในนั้นคือ ลินคอล์นและวอนสัน ซึ่งบินมาจากเซี่ยงไฮ้เพื่อดูอสังหาริมทรัพย์ในไทย พวกเขาบอกว่า ในฐานะคู่รักเกย์ พวกเขาต้องการสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายของ LGBTQ+ ในประเทศไทย และพวกเขามีวัตถุประสงค์ที่จริงจังกว่านั้น นั่นคือพวกเขาต้องการสร้างครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องยากมากสำหรับคู่รักเกย์ในประเทศจีน และพวกเขากำลังมองหาบ้านที่มีศักยภาพ
ลินคอล์นบอกว่า “เราเห็นเกย์ เลสเบี้ยน และคนข้ามเพศจำนวนมากที่นี่ ผมคิดว่านี่เป็นประเทศที่เปิดกว้างและเสรีมาก เมื่อเรามาถึงที่นี่ เราก็รู้สึกโล่งใจบ้าง”
วอนสันกล่าวเสริมว่า “มันยากสำหรับเราที่จะใช้ชีวิตในประเทศจีน ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางสังคมจากครอบครัว จากวัฒนธรรมดั้งเดิม บางทีที่นี่เราอาจมีชีวิตเหมือนในจินตนาการของเรา ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถตอบสนองความต้องการของเราเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลูก ๆ ของเรา และที่นี่เราสามารถบอกลูก ๆ ของเราได้ว่าเราเป็นคนธรรมดาเหมือนคนอื่น ๆ”
แกรี โบเวอร์แมน จากบริษัท Check-in Asia ซึ่งติดตามแนวโน้มการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียกล่าวว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวจะกลายมาเป็นสัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้น
“3 ปีที่ต้องติดอยู่ในประเทศที่ปลอดภัยมากในช่วงที่เกิดโรคระบาด อาจเปลี่ยนการรับรู้ด้านความปลอดภัยของพวกเขา ดังนั้นเมื่อมีข่าวเรื่องการหลอกลวงและการลักพาตัว มันจะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของผู้คน” โบเวอร์แมนกล่าว
เขาเสริมว่า “แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะบอกเกี่ยวกับนักเดินทางอายุน้อยจากประเทศจีนก็คือ พวกเขาพร้อมที่จะทดลอง และสิ่งดึงดูดใจที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยก็คือ องค์ประกอบของการผจญภัยและอันตรายที่สามารถยอมรับได้”
เรียบเรียงจาก BBC
ภาพจาก Lillian SUWANRUMPHA / AFP