ภาพสถานการณ์หลังจากฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเมาเล (Maule) ทางตอนกลางของประเทศชิลี ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา แม่น้ำมาตากีโต แม่น้ำสายหนึ่งทางตอนกลางของชิลี มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นสูงจนเอ่อล้นออกมา กลายเป็นกระแสน้ำพัดแรงไหลหลากไปทั่วพื้นที่ มวลน้ำบางส่วนไหลท่วมถนนและสะพาน สร้างความเสียหายหลายจุด ขณะที่ฝนตกหนักยังส่งผลให้เกิดภาวะดินและโคลนถล่มร่วมด้วย
นอกจากถนนหลายเส้นที่ได้รับความเสียหายแล้ว อาคารบ้านเรือนของประชาชนในพื้นที่ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากกระแสน้ำและดินโคลนที่ถล่มลงมาเช่นกัน
“นายพลอาร์มาเก็ดดอน” ถูกปลดจากหัวหน้ากองกำลังการบินและอวกาศของรัสเซีย คำพูดจาก เว็บสล็อตเว็บตรง
วิกฤตไฟป่าโหมกระหน่ำกรีซ พบศพถูกไฟคลอกเพิ่มอีก 18 ราย
กระแสน้ำได้พัดพาต้นไม้ รถยนต์และวัตถุต่างๆ ปะทะเข้ากับบ้านเรือน ส่วนน้ำและโคลนก็พัดเข้าไปในตัวบ้านเช่นกัน
ประชาชนที่เห็นเหตุการณ์และได้รับผลกระทบรายหนึ่งเล่าถึงสถานการณ์ที่ย่ำแย่จากน้ำท่วมและโคลนถล่ม จนบ้านเรือนได้รับความเสียหายอย่างหนักจากวัตถุต่างๆ ที่กระแสน้ำพัดมา
อย่างไรก็ตาม เมาเลไม่ใช่ภูมิภาคเดียวที่ได้รับผลกระทบ มีรายงานว่าฝนยังตกและน้ำยังคงท่วมสูงอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่อื่นๆ ทางภาคกลางและภาคใต้ของชิลี เช่น ภูมิภาคบิโอบิโบและภูมิภาคโอฮิกกินส์ ซึ่งสาเหตุมาจากฝนตกหนักจนแม่น้ำเอ่อล้นเช่นกัน นี่ทำให้ประธานาธิบดีกาเบรียล บอริค ของชิลี ประกาศสถานการณ์ภัยพิบัติฉุกเฉินใน 4 ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบ พร้อมขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือในการอพยพออกจากพื้นที่
โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเข้าไปช่วยเหลือ อพยพประชาชนบางพื้นที่ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์บินเข้าไปในเพื่อพาประชาชนออกมา ข้อมูลจากเซนาเปรด (Senapred) หน่วยงานด้านภัยพิบัติของชิลีระบุว่า ประชาชนราว 26,000 คนที่ถูกตัดขาดจากสาธารณูปโภคต่างๆ อีก 38,000 รายที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้
ส่วนประชาชนที่อพยพออกมาแล้ว ขณะนี้อยู่ที่เกือบ 34,000 ราย อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมแล้ว 2 ราย ส่วนบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย ล่าสุดอยู่ที่ 1,024 หลัง สาเหตุที่ฝนตกหนักเช่นนี้ เพราะอิทธิพลของเอลนีโญที่ส่งผลให้ฤดูหนาวของชิลี โดยเฉพาะทางภาคกลางและภาคใต้มีฝนตกหนักขึ้น ขณะที่อากาศก็ร้อนกว่าปกติเช่นกัน อย่างช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นฤดูหนาวของชิลี แต่อุณหภูมิกลับสูงถึง 37 องศาเซลเซียส ถือว่าเป็นฤดูหนาวที่อากาศร้อนทำลายสถิติ
ขณะที่ชิลีกำลังเผชิญกับฤดูหนาวที่ฝนตกหนักกว่าปกติ พื้นที่ในภาคพื้นทวีปเหนืออย่างยุโรปที่กำลังอยู่ในช่วงฤดูร้อนก็ประสบกับคลื่นความร้อนจนเกิดเหตุไฟป่าลุกลามไปแล้วหลายครั้ง ล่าสุดเมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น เกิดเหตุไฟป่ารุนแรงขึ้นอีกครั้งที่ประเทศกรีซ มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อยเกือบ 20 ราย
เข้าสู่วันที่ 4 แล้วที่ไฟป่าโหมกระหน่ำอย่างหนักที่ภูมิภาคเอฟรอส ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรีซ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพรมแดน
ตุรกีตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา สถานการณ์ไฟป่าได้ลุกลามกระจายไปในหลายพื้นที่ของภูมิภาคดังกล่าว โดยมีจุดที่เกิดเหตุไฟป่าราว 64 จุด เจ้าหน้าที่ดับเพลิงหลายร้อยนายต้องเผชิญกับความท้าทายในการดับไฟ เนื่องจากไฟป่าครั้งนี้รุนแรงมาก และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ทั้งหมด
ขณะที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหลายชาติ เช่น สาธารณรัฐเช็ก โครเอเชีย เยอรมนี โรมาเนีย สวีเดน ยังส่งความช่วยเหลือให้กรีซอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิง รถดับเพลิง เครื่องบิน และเฮลิคอปเตอร์ ล่าสุดมีรายงานจากทางการกรีซว่าเพลิงไหม้เผาผลาญพื้นที่ในภูมิภาคเอฟรอสไปแล้วราว 961,400 ไร่
อย่างไรก็ตาม จุดที่เกิดเหตุไฟป่าโหมกระหน่ำรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งจนมีผู้เสียชีวิตคือ ที่ป่าดาเดีย ในเมืองอเล็กซานโดรโปลิส เมืองท่าทางตอนเหนือ ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอฟรอส ไม่ไกลจากป่าดาเดียคือจุดที่พบผู้เสียชีวิตจากไฟป่า 20 ราย
มีความเป็นไปได้ว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นผู้อพยพ เนื่องจากบริเวณที่พบศพผู้เสียชีวิตเป็นเส้นทางที่ผู้อพยพจากตะวันออกกลางและเอเชียใช้เดินทางเข้ามาสู่พรมแดนสหภาพยุโรป ซึ่งต้องใช้ตุรกีเป็นทางผ่าน ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปที่กรีซ โดยมีรายงานว่าในเดือนที่ผ่านมามีการใช้เส้นทางดังกล่าวข้ามพรมแดนเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายงานจากทางการกรีซที่ระบุว่า ไม่มีผู้สูญหายจากเหตุไฟป่า จึงอาจเป็นไปได้ว่าผู้เสียชีวิตที่พบนั้น เป็นผู้อพยพที่ผ่านเข้ามาจากทางตุรกีอย่างผิดกฎหมาย
ส่วนที่หมู่บ้านอวานทาสที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนั้น ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเล่าว่า ไฟป่าเผาไหม้อย่างรุนแรงไปทั่วพื้นที่ จนไหม้บ้านเรือนไปด้วยหลายหลัง
นอกจากนี้ ด้วยสถานการณ์ไฟป่าที่ลุกลามเร็วและยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยอเล็กซานโดรโปลิสจึงได้อพยพผู้ป่วยจำนวน 65 รายในช่วงกลางดึก โดยใช้เรือเฟอร์รี ที่ดัดแปลงจนกลายเป็นโรงพยาบาลชั่วคราว ส่วนสถานพยาบาลอีกแห่งที่ต้องอพยพผู้ป่วยราว 200 คน คือคลินิกของมูลนิธิโบสถ์แห่งเมืองอเล็กซานโดรโปลิส ขณะที่ทางการกรีซได้ระบุว่าในช่วงไม่กี่วันข้างหน้านี้ยังมีความเสี่ยงสูงที่ไฟป่าจะยังเผาไหม้และลุกลามต่อไป
สาเหตุที่ทำให้เกิดไฟป่าลุกลามที่กรีซครั้งนี้ เนื่องจากกระแสลมพัดแรงและคลื่นความร้อนที่ส่งผลให้อุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ซึ่งอากาศร้อนและแห้งแล้งเพิ่มขึ้นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากวิกฤตการเปลี่ยนเปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของปีที่กรีซต้องเผชิญไฟป่ารุนแรง เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กรีซเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบภัยไฟป่าครั้งใหญ่มาแล้ว โดยเฉพาะที่เกาะโรดส์
ขณะเดียวกัน หลายประเทศในยุโรปทางตอนใต้ก็กำลังประสบกับคลื่นความร้อนอีกระลอก หลายประเทศเผชิญอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส เช่น อิตาลี สเปน และฝรั่งเศส